น้ำมันทำอาหาร น้ำมันเป็นส่วนประกอบหลัก ในการทำอาหารไทยมานาน ไม่ว่าจะเป็น ผัด ทอด หรือหมักในส่วนผสมของอาหารไทยต่าง ๆ ซึ่งน้ำมันจัดอยู่ในหมู่ที่ 5 คือไขมัน เป็นตัวให้พลังงานแก่ร่างกาย และเป็นตัวละลายวิตามินบางชนิดที่จำเป็นและเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย การไม่ทานน้ำมันจะส่งผลให้ร่างกายไม่ได้รับวิตามินที่พอดี
เราสามารถแบ่งน้ำมันออกเป็น 2 ชนิด คือ น้ำมันที่สกัดจากพืช และ น้ำมันที่สกัดจากสัตว์
- น้ำมันจากพืช เป็นน้ำมันที่ผ่านกระบวนการสกัดจากเมล็ดพืชต่าง ๆ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันงา น้ำมันรำข้าว น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว (ในที่นี้จะพูดเกี่ยวกับน้ำมันพืชชนิดอื่นยกเว้น น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว) น้ำมันพืชจะประกอบไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ร่างกายมากกว่า จะเป็นไขได้ยากแม้ในอุณหภูมิต่ำ แต่จะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนและความร้อนได้ง่าย จึงเป็นเหตุให้เกิดกลิ่นหืนได้ง่ายกว่า
- น้ำมันจากไขมันสัตว์ เป็นน้ำมันที่ได้จากธรรมชาติ ไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี เช่น น้ำมันหมู น้ำมันไก่ ซึ่งน้ำมันจากไขมันสัตว์จะประกอบไปด้วยกรดไขมันอิ่มตัวสูงกว่า จะเป็นไขได้ง่ายเมื่อเจออุณหภูมิต่ำ นอกจากจะมีกรดไขมันอิ่มตัวแล้วยังมีคอเลสเตอรอลอีกด้วย เหมาะกับการทำอาหารที่ใช้อุณหภูมิสูง ทำให้อาหารน่าทาน รสชาติดี
1. น้ำมันปาล์ม (Palm Oil)
น้ำมันปาล์ม อุดมด้วยวิตามินอี ไม่มีกลิ่นหืน ราคาถูก คนไทยนิยมใช้น้ำมันชนิดนี้ในการประกอบอาหาร ความร้อนกระจายตัวได้เร็ว ใช้สำหรับในการทอดได้ดี ทำให้อาหารกรอบได้นาน มีคุณสมบัติในการทนความร้อนสูง ดันนั้นเมื่อทอดอาหารแล้วจะไม่ทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง
- เหมาะสำหรับการทอดที่ใช้ความร้อนสูง เช่น ปลากะพงทอดน้ำปลา ปีกไก่ทอดเกลือ หมูทอดน้ำปลา
ในร่างกายของเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลจากสารที่มาจากการสลายไขมันและแป้ง ดังนั้นแป้งจึงสร้างคอเลสเตอรอลได้ แต่พบว่าไขมันอิ่มตัวสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้ดีกว่าไขมันกลุ่มอื่น กรณีของไขมันอิ่มตัวกลุ่มโอเมก้า 6 หากปริมาณไม่มากเกินไปอาจลดการสร้างคอเลสเตอรอลได้ หากปริมาณมากเกินไป เช่น เกิน 10% ของพลังงาน ก็จะไปกดการสร้าง HDL ด้วย
2.น้ำมันถั่วเหลือง (Soy Bean Oil)
น้ำมันถั่วเหลือง เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในระดับปานกลาง มีโอเมกา3 และวิตามินอี เป็นไขได้ยาก ไม่เหมาะสำหรับการประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูง จะทำให้อาหารไหม้ และสูญเสียคุณค่าทางอาหารได้
- เหมาะสำหรับเมนูผัด เช่น กะเพราไก่ กะเพราหมู คั่วกลิ่งปักษ์ใต้ คะน้าปลาเค็ม
ประโยชน์ของน้ำมันถั่วเหลือง
ควบคุมระดับคอเลสเตอรอล เนื่องจากมีสารควบคุมการดูดซึมปริมาณการละลายและย่อยคอเลสเตอรอลในลำไส้ได้ ชะลอริ้วรอยและฟื้นฟูสุขภาพผิว เพราะเต็มไปด้วยวิตามิน E ที่ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวหนังและต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
3.น้ำมันรำข้าว (Rice Bran Oil)
น้ำมันรำข้าวมีสารมีโอริซานอล ซึ่งมีแต่ในรำข้าว เป็นสารที่ช่วยต่อต้อนอนุมูลอิสระ และช่วยให้น้ำมันรำข้าวไม่เกิดกลิ่นหืน จึงไม่ต้องใส่สารกันหืนลงในน้ำมัน สรรพคุณช่วยป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด บำรุงประสาทและสมอง ชะลอความแก่ บำรุงสายตา มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เหมาะสำหรับอาหารเพื่อสุขภาพ
น้ำมันรำข้าวยังอุดมไปด้วยวิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระ โทโคไตรอีนอล โอไรซานอล และสเตอรอล ที่ช่วยในการบำรุงร่างกาย อีกทั้งปัจจุบันน้ำมันรำข้าวก็ไม่เพียงแต่จะนำมาปรุงอาหารเท่านั้น แต่แบรนด์ต่าง ๆ ยังได้มีการนำน้ำมันรำข้าวออกมาจำหน่ายในรูปแบบของผงและแคปซูล เพื่อให้ง่ายต่อการรับประทานอีกด้วย
- เหมาะสำหรับอาหารเพื่อสุขภาพ การผัด หมัก ทำน้ำสลัด เช่น เห็ดออรินจิคั่วเกลือ กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา กะหล่ำปลีน้ำแดง หมักหมูย่าง ข้าวผัดมังสวิรัติ
4.น้ำมันงา (Sesame Oil)
น้ำมันงาเป็นน้ำมันที่ได้จากการบีบคั้นงาที่อุณหภูมิต่ำกว่า 45 องศาเซลเซียส น้ำมันงาจึงมีสารอาหารอยู่ครบ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง น้ำมันงาสามารถเก็บไว้ได้นานไม่มีกลิ่นหืน และ สามารถใช้เป็นเครื่องปรุงรสใส่อาหารได้
- เหมาะสำหรับ ผัด หมัก มีกลิ่นงา เช่น หมูหมักน้ำมันงา ผัดผักน้ำมันงา หมูผัดน้ำมันงา
5.น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil)
น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงต่างจากน้ำมันพืชทั่วไป เป็นไขได้ง่ายที่อุณหภูมิต่ำ (สังเกตได้จากในชั้นวางของตามห้างน้ำมันมะพร้าวจะมีสีขุ่น แต่ก็สามารถใช้ได้ เพียงแค่นำมาวางไว้ในอุณหภูมิห้อง) สามารถทนความร้อนได้สูง เหมาะกับการผัด การทอด ซึ่งน้ำมันมะพร้าวจะมีกลิ่นหอมของมะพร้าวอยู่ด้วย
- เหมาะสหรับ ทอด ผัด ได้กลิ่นมะพร้าวเฉพาะตัว เช่น ผัดเปรี้ยวหวาน ผัดผักรวม ผัดพริกแกงเขียวหวาน
6.น้ำมันมะกอก(Olive Oil)
น้ำมันมะกอกนิยมใช้ในอาหารตะวันตก น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากที่สุด มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในร่างกายได้ แต่ไม่เหมาะกับอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูง นิยมทำเป็นน้ำสลัด ผัด แต่จะมีราคาแพงและกลิ่นค่อนข้างฉุนน้ำมันมะกอกแบ่งได้อีกเป็น 3 ประเภท
1.) น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น (Extra Virgin Olive Oil) เป็นน้ำมันมะกอกคุณภาพดี ราคาสูง มีรสและกลิ่นของมะกอกแรงสามารถกินสดๆ ทำเป็นน้ำสลัด หรือคลุกกับพาสตาได้
- เหมาะสำหรับทำน้ำสลัด ทานสดๆ ซอสพาสตา เช่น พาสตาซอสเพสโต้ น้ำสลัดนิซัวส์
2.) น้ำมันมะกอกแบบผ่านกรรมวิธี (Fine Olive Oil) เป็นน้ำมันมะกอกที่ผ่านกรรมวิธี ซึ่งทำให้คุณค่าโภชนาการจะน้อยกว่าแบบเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น แต่รสชาติจะดีกว่า ทานได้ง่ายกว่า เหมาะสำหรับอาหารเพื่อสุขภาพ สามารถทนความร้อนได้เล็กน้อย
- เหมาะสำหรับทำน้ำสลัด ผัดแบบเร็วๆ เช่น ผัดกะหล่ำปลีน้ำปลา
3.) น้ำมันมะกอกผสม (Light Olive Oil ) เป็นน้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมันชนิดอื่น สามารถทดความร้อนได้ดี ใช้แทนน้ำมันพืชทั่วไปได้ สามารถใช้ทอดได้
- เหมาะสำหรับผัด ทอด อาหารทั่วไป เช่น หมูทอดน้ำปลา ข้าวผัดรถไฟ ข้าวผัดอเมริกัน ทอดปลากะพงลุยสวน
7.น้ำมันหมู (Lard)
น้ำมันหมูเป็นน้ำมันที่ได้จากการเจียวมันหมูจนออกมาเป็นน้ำมัน ได้จากธรรมชาติแท้ๆ จึงไม่มีสารอื่นเจือปน มีกรดไขมันทั้งอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว ทดความร้อนได้ดี ไม่เปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นตัวก่อมะเร็งและโรคหัวใจ ทำอาหารออกมาแล้วน่าทาน มีกลิ่นหอม รสชาติอร่อย แถมยังราคาถูกอีกด้วย
- เหมาะสำหรับทุกเมนู ผัด ทอด หมัก เช่น ไข่เจียวหมูสับ ข้าวผัดปู ข้าวเขียวหวานไก่ทอด
จะเห็นได้ว่า น้ำมันทำอาหาร แต่ละชนิดเหมาะกับการทำอาหาร แต่ละประเภทต่างกัน ทดความร้อนได้ต่างกัน เราควรเลือกน้ำมัน ที่ตรงกับความต้องการ หวังว่าหลานๆจะนำไปปรับใช้กับการเลือกซื้อ เลือกประกอบอาหารกันนะ แล้วน้ำมันทุกชนิดก็ไม่ควรทานเยอะเกินไปส่งผลเสียต่อร่างการได้ทั้งสิ้น